เหตุที่คนทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พระอานนท์ได้กราบทูลให้ทรงทราบ ถึงเรื่องที่พระสมิทธิตอบปัญหา ของโปตลิบุตรแต่เพียงแง่เดียว ทำให้ผู้อื่น เข้าใจผิด ทรงตำหนิว่าเป็นคนเปล่า เพราะปัญหาบางข้อต้องแยกตอบ แล้วทรงจำแนกกรรมที่บุคคลทำแล้วได้รับผลดี หรือชั่ว แบ่งออกเป็น ๔ จำพวก คือ
๑. คนบางคนที่เกิดมา ชอบฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาม พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก พยาบาท และเห็นผิด ตายไปแล้วไปนรกก็มี เพราะผลกรรมชั่วที่ทำไว้ในชาตินี้ จะต้องได้รับผลในชาติหน้าและชาติต่อ ๆ ไป
๒. คนบางคนที่เกิดมา ชอบฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาม พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก พยาบาท และเห็นผิด ตายไปแล้วไปสวรรค์ก็มี ที่เป็นดังนี้เพราะเหตุว่ากรรมดีที่ทำไว้ชาติก่อนๆ กำลังให้ผลอยู่ ส่วนกรรมชั่วที่ทำในปัจจุบันยังไม่ให้ผล หรือ เมื่อเวลาใกล้ตายมีความเห็นชอบ (มีสติ) จึงถือเอาอารมณ์นั้นไปเกิด ในสวรรค์
๓. คนบางคนที่เกิดมาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดกาม พูดจริง ไม่พูดส่อเสียด พูดคำสุภาพ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภ ไม่พยาบาท และเห็นชอบ ตายแล้วไปสวรรค์ก็มี เพราะกรรมดีที่ทำไว้ในปัจจุบันให้ผล ต้องได้รับผลดีในชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไป
๔. คนบางคนที่เกิดมาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดกาม พูดจริง ไม่พูดส่อเสียด พูดคำสุภาพ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภ ไม่พยาบาท และเห็นชอบ ตายแล้วไปนรกก็มี เพราะชั่วดีที่ทำไว้ในชาติก่อน ๆ กำลังตามมาให้ผลอยู่ ส่วนกรรมดีที่ทำไว้ในปัจจุบันยังไม่ให้ผล หรือเวลาใกล้ตายมีความเห็นผิด (ขาดสติ) จึงถือเอาอารมณ์นั้นไปเกิดในนรก
(มหากัมมวิภังคสูตร ๑๔/๓๓๒)
ส่วนเสริม
พระสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดง “กฎแห่งกรรม” ไว้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ขอให้ชาวพุทธทุกท่านโปรดท่องหรืออ่านให้บ่อย ๆ จนขึ้นใจ และจำได้ เมื่อเราทำดีแล้วได้รับผลชั่วก็จะได้ไม่ท้อใจ ยอมรับความจริงว่า เพราะผลของอกุศลกรรมเก่าของเราเองกำลังให้ผลเราอยู่ ใจของเราก็ย่อมจะสงบสุขได้