เหตุผลที่คนเกิดมาแล้วไม่เหมือนกัน

เหตุผลที่คนเกิดมาแล้วไม่เหมือนกัน

         พระพุทธเจ้าประทับอยู่  ณ  พระวิหารเชตะวัน  เมืองสาวัตถี         ได้ทรงตอบปัญหาของสุภมาณพ  ที่ทูลถามว่า  ทำไมคนที่เกิดมาในโลกนี้แล้ว  จึงมีสภาพไม่เหมือนกัน  พระองค์ทรงตอบปัญหานี้  พอสรุปเป็นคู่ได้  ๗  คู่  คือ

         ๑.  คนที่เกิดมามีอายุสั้น  เพราะชอบฆ่าคนหรือสัตว์  มีจิตเหี้ยมโหด  ขาดความเมตตา  กรุณาในสัตว์  ตายไปต้องตกนรก  ถ้ามาเกิดเป็นคนก็มีอายุสั้น

         ส่วนคนที่เกิดมามีอายุยืน  เพราะไม่ฆ่าคนหรือสัตว์  มีจิตเมตตา  สงสารต่อสัตวทั้งปวง

         ๒.  คนที่เกิดมามีโรคมาก  เพราะชอบเบียดเบียนคนหรือสัตว์ให้ได้รับความลำบากเดือดร้อนต่าง ๆ  ตายแล้วต้องตกนรก  มาเกิดเป็นคนจึงมีโรคมาก

         ส่วนคนที่มีโรคน้อย  เพราะไม่เบียดเบียนหรือทรมานคนหรือสัตว์มีใจเอ็นดูต่อสัตว์ทั้งปวง

         ๓.  คนที่เกิดมามีผิวพรรณไม่งาม  เพราะเป็นคนขี้โกรธขัดเคืองพยาบาทง่าย  ตายแล้วต้องตกนรก  มาเกิดเป็นคนจึงมีผิวพรรณไม่งาม

         ส่วนคนที่มีผิวพรรณงาม  เพราะเป็นคนไม่มักโกรธ  ไม่ขัดเคือง      ไม่พยาบาทคน

         ๔.  คนที่เกิดมามีอำนาจหรือความสามารถน้อย  เพราะเป็นคน        ขี้ริษยาผู้อื่น  ขาดความเคารพนับถือผู้อื่น  ตายแล้วต้องตกนรก  มาเกิดเป็นคนจึงมีอำนาจน้อย

         ส่วนคนที่มีอำนาจมาก  เพราะเป็นคนไม่ริษยา  เคารพบูชาผู้ควรบูชา

         ๕.  คนที่เกิดมายากจน  เพราะเป็นคนไม่ชอบให้ทาน  หรือขี้เหนียว  ตายไปต้องตกนรก  มาเกิดเป็นคนจึงยากจน

         ส่วนคนที่ร่ำรวย  เพราะเป็นคนชอบให้ทานอยู่เสมอ  มีจิตชอบเสียสละแบ่งปัน

         ๖.  คนที่เกิดในตระกูลต่ำ  เพราะเป็นคนกระด้างถือตัว  ไม่อ่อนน้อมหรือกราบไหว้ต่อบุคคลที่ควรอ่อนน้อมหรือควรกราบไหว้  ตายไปต้องตกนรก  มาเกิดอีกจึงเกิดในตระกูลต่ำ

         ส่วนคนที่เกิดในตระกูลสูง เพราะเป็นคนไม่เย่อหยิ่งถือตัว  แต่อ่อนน้อมถ่อมตน

         ๗.  คนที่เกิดมามีปัญญาทรามหรือโง่เขลา  เพราะเป็นคนไม่ชอบเข้าไปหาผู้รู้  ไม่สนใจไต่ถามเรื่องบาป  บุญ  ความดี  ความชั่ว  ตายไปต้องตกนรก  มาเกิดอีกจึงโง่เขลา

         ส่วนคนที่มีปัญญาดี  เพราะชอบคบหากับบัณฑิตผู้รู้  สนใจศึกษาเรื่องกุศล  อกุศลอยู่เนือง ๆ

(จูฬกัมมวิภังคสูตร  ๑๔/๓๓๒)

ส่วนเสริม

         เรื่องกรรมคือการกระทำ  ที่แบ่งแยกให้คนเราเกิดมาแล้วไม่เหมือนกัน  เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก  เพราะถ้าเข้าใจผิดในเรื่องกรรม  จะทำให้คนบางคนกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ  จะมุ่งสร้างแต่ความชั่วอย่างเดียว  เพราะเห็นว่าบางคนทำความดีแทบตายไม่เห็นความดีตอบสนอง  แต่บางคนทำชั่วกลับได้ดี  มีคนนับถือและร่ำรวยทันตาเห็น  ส่วนคนทำความดีจะต้องรอไว้รับผลในชาติหน้า  อย่างนี้เป็นต้น

         การทำความดีต้องยึดหลักใจเป็นสำคัญ  จะเอาวัตถุมาเป็นเครื่องวัดไม่ได้  และที่สำคัญจะต้องมองผลของความดีความชั่วด้วยสายตาที่กว้างและไกลอีกด้วย

         ในพระสูตรนี้  ย่อมจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับบางคนที่ท้อแท้ใจว่า   ทำดีแล้วไม่เห็นร่ำรวยสักที  ทั้งนี้เพราะเรามองไม่เห็นเหตุในอดีตที่เราทำไว้อย่างไร  แต่พระพุทธเจ้าท่านมีพระญาณสามารถที่จะมองเห็นทั้งอดีตและอนาคต  ถ้าเราไม่เชื่อพระองค์แล้วจะไปเชื่อใครได้ในโลกนี้  ถ้าเราเชื่อนักปราชญ์ที่มีกิเลส  อวดรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า  เราก็จะตาบอดตลอดทุกชาติ

         พระสูตรนี้มีแง่คิดที่น่าสนใจคือ  ตัวกรรมชั่วต่าง ๆ  นั้น  ผู้ที่ทำไว้ได้ไปเสวยหรือรับผลในนรกเสร็จแล้ว  แต่ที่เราเกิดมาในชาตินี้มีอายุสั้น  มีโรคมาก  จนถึงโง่เขลานั้น  ถือวาเป็น  “เศษกรรม  หรือหางของกรรมเท่านั้น

         ขนาดหาง ๆ  ของกรรม  คนส่วนมากก็เบื่อระอาเต็มทีแล้ว  ถ้าเป็นหัวของกรรมจริง ๆ  จะขนาดไหน  จึงไม่ควรมัวเมาประมาทสรางแต่กรรมชั่วอีกต่อไปเลย