ชายกลับเป็นหญิงได้ด้วยกรรม

ชายกลับเป็นหญิงได้ด้วยกรรม

อิสิทาสีเถรีคาถา

คาถาสุภาษิตของนางอิสิทาสี – โพธิเถรี

        ภิกษุณี  ๒  รูป  ผู้ทรงคุณธรรม  เป็นกุลธิดาในศากยสกุล  ในนครอันมีชื่อว่าโกสุม  คือ  เมืองปาตลีบุตร  ในภิกษุณี  ๒  รูปนั้น  รูปหนี่งชื่อ อิสิทาสี  รูปหนึ่งชื่อโพธี  เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล  ยินดีในการเพ่งฌาน         เป็นพหูสูต  เป็นผู้กำจัดกิเลสได้แล้ว  ภิกษุณีทั้ง  ๒  รูปนั้น  ไปเที่ยวบิณฑบาตกลับมา  แล้วทำภัตกิจเสร็จล้างบาตรแล้ว  นั่งพักสบายอยู่ในที่    อันสงัด  ไต่ถามและแก้ไขต่อกันอย่างนี้.

       พระโพธีถามว่า  ข้าแต่พระแม่เจ้าอิสิทาสี  พระแม่เจ้าเป็นที่           น่าเลื่อมใสอยู่  แม้วัยของท่านก็ยังไม่เสื่อม  ก็พระแม่เจ้าเห็นโทษอะไร       จึงประกอบเนกขัมมะ ?

       พระอิสิทาสีนั้นเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรมในฐานะแห่งบุญเมื่อถูกถามอย่างนี้  จึงได้กล่าวตอบอย่างนี้ว่า  ข้าแต่พระแม่เจ้าโพธี   ขอพระแม่เจ้าจงฟังตามเรื่องที่ฉันบวชแล้ว

       ต่อไปนี้เป็นคำวิสัชนา

       โยมบิดาของดิฉันอยู่ในบุรีอันประเสริฐชื่อว่าอุชเชนี  เป็นเศรษฐีผู้สำรวมแล้วด้วยศีล  ดิฉันเป็นธิดาผู้เดียวของท่าน  ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจและเป็นผู้อันท่านเอ็นดู  

       ในเวลาที่ดิฉันเจริญวัยแล้ว  เศรษฐีผู้มีรัตนะมาก  เป็นสกุลอันอุดมคนหนึ่งในเมืองสาเกต  มาขอดิฉันเป็นสะใภ้  โยมบิดาได้ให้ดิฉันเป็นสะใภ้ของเศรษฐีนั้น  ดิฉันได้ไปสู่สำนักมารดาและบิดาของสามีทำการนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า  ไหว้เท้าท่านทั้ง  ๒  ทุกเช้าเย็น  ท่านทั้งสอง  สอนดิฉันอย่างไร  ดิฉันก็ทำอย่างนั้น  พี่หญิงน้องหญิง  พี่ชายน้องชายหรือ  บ่าวไพร่ของสามีดิฉัน  ไม่ว่าคนใด  ดิฉันเห็นแล้วแม้ครั้งเดียว  ก็มีความยำเกรงให้อาสนะ  ดิฉันต้อนรับด้วยข้าวน้ำและของเคี้ยว  ซึ่งเป็นของที่เขาจัดหาไว้ที่เรือน  และสิ่งใดควรแก่ผู้ใด  ก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้น

       ดิฉันลุกขึ้นแต่เช้าไปยังเรือนสามี ล้างมือล้างเท้าที่ธรณีประตูแล้ว  ประนมมือเข้าไปกราบสามี  จัดหาหวี  เครื่องผัดหน้า  ยาหยอดตา   แว่นส่องหน้ามาตบแต่งสามีเสียเองเหมือนสาวใช้  ดิฉันหุงข้าวต้มแกงเอง  ล้างภาชนะเอง  มารดาบำรุงบำเรอบุตรน้อยคนเดียวฉันใด  ดิฉันก็บำเรอสามีฉันนั้น 

       ดิฉันมีความจงรักภักดี  มีวัตรอันยอดยิ่ง  ทำการงานอันหญิงพึงทำทุกอย่าง  ไม่มีความถือเนื้อถือตัว  ขยันไม่เกียจคร้าน  สมบูรณ์ด้วยศีล     อย่างนี้  สามีก็ยังโกรธ  สามีของดิฉันพูดกะมาดาของเขาว่า  ฉันลาไปจักไม่อยู่ร่วมกับนางอิสิทาสี  ฉันไม่ควรอยู่ร่วมในเรือนเดียวกับนางอิสิทาสี

       มารดาบิดาของเขาจึงห้ามว่า  ลูกเอ๋ย  เจ้าอย่าพูดอย่างนั้นเลย         นางอิสิทาสีเป็นบัณฑิต  ฉลาดรอบคอบ  ขยันไม่เกียจคร้าน  ไฉนจึงไม่ชอบใจเจ้าล่ะลูก

       เขาตอบว่า  นางอิสิทาสีไม่ได้เบียดเบียนอะไรฉันเลย  แต่ว่าฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับนางอิสิทาสีเท่านั้น  ฉันไม่อยากเห็น  ไม่ต้องการ  ฉันจักลาบิดามารดาไปละ

       และบิดาของสามีของดิฉันฟังคำของของเขาแล้ว  ได้ถามดิฉันว่าเจ้าทำผิดอย่างไร  สามีของเจ้าจักละทิ้งเจ้าเช่นนี้  เจ้าจงบอกสิ่งที่เจ้าได้ทำตามจริงเถิด

       ดิฉันตอบว่า  ดิฉันไม่ได้ทำผิดอะไร  ทั้งไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนอะไร  และไม่ได้ดูหมิ่นอะไร  ดิฉันจักอาจกล่าวคำชั่วหยาบอะไร  อันเป็นเหตุให้สามีโกรธดิฉันเล่า

       มารดาและบิดาแห่งสามีเสียใจ  ถูกทุกข์ครอบงำแล้วเหมือนกัน        แต่หวังจักรักษาบุตรไว้  จึงนำดิฉันกลับไปส่งคืนให้โยมบิดาของฉันที่เรือน  ดิฉันเป็นหญิงม้ายมีรูปสวยเที่ยวไป

       ภายหลังโยมบิดาของฉัน  ได้ยกดิฉันให้แก่กุลบุตรผู้มีทรัพย์สมบัติน้อยกว่าสามีคนเก่าครึ่งหนึ่ง  โดยสินสอดครึ่งหนึ่ง  ต่อกับสินสอดที่เศรษฐีคนเก่าได้หมั้นดิฉัน

       ดิฉันอยู่ที่เรือนของสามีคนที่สองนั้นเดือนหนึ่ง  ต่อมาเขาได้ขับดิฉันผู้บำรุงบำเรออยู่ดังนางทาสี  ประพฤติตัวดีมีศีลจากเรือนเขาอีก

       โยมบิดาของดิฉันบอกกะบุรุษคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกจิตแห่งชนเหล่าอื่น        มีกายและวาจาอันฝึกแล้ว  เที่ยวขอทานอยู่ว่า  เจ้าจงทิ้งผ้าขี้ริ้วและ       หม้อเสีย  จงมาเป็นลูกเขยเราเถิด

       เขาอยู่กับดิฉนได้ครึ่งเดือน  ก็บอกโยมบิดาของดิฉันว่า  ท่านจงให้ผ้าขี้ริ้ว  หม้อ  และกระเบื้องขอทานแก่ข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าจะไปเที่ยวขอทานอีก

       ลำดับนั้น  โยมบิดามารดากับพวกหมู่ญาติของดิฉันทั้งหมดพากันถามคนขอทานนั้นว่า สิ่งใดที่เจ้าทำไม่สำเร็จในที่นี้ ขอเจ้าจงรีบบอกเร็ว ๆ        เขาจักทำสิ่งนั้น ๆ  ให้เจ้า

       เมื่อโยมบิดามารดาและพวกญาติของดิฉันพูดอย่างนี้แล้ว  คนขอทานนั้นจึงตอบว่า  เราอาจทำตัวของเราให้เป็นไทโดยแท้  แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการอยู่ร่วมเรือนหลังเดียวกับนางอิสิทาสีได้  โยมบิดาของดิฉันปล่อยให้เขาไป

       ดิฉันผู้เดียวคิดว่า  จักลาโยมมารดา  โยมบิดาไปตาย  หรือไปบวชดีกว่า

       ลำดับนั้น  พระแม่เจ้า  ชินทัตตาผู้ทรงไว้ซึ่งวินัย  เป็นพหูสูต  มีศีลสมบูรณ์  มาเที่ยวบิณฑบาตที่สกุลโยมบิดาของดิฉัน  ดิฉันเห็นท่านจึงลุกไปจัดอาสนะของดิฉันถวายท่าน  และเมื่อท่านนั่งเสร็จแล้ว  ดิฉันกราบเท้าและถวายโภชนาหารแก่ท่าน  ดิฉันเลี้ยงดูท่านด้วยข้าว  น้ำ  ของเคี้ยว  และสิ่งที่จัดไว้ในเรือนให้อิ่มหนำแล้ว  จึงกราบเรียนว่า

       พระแม่เจ้า  ดิฉันปรารถนาจะบวช  ลำดับนั้น  โยมบิดาบอกกะดิฉันว่าลูกเอ๋ย  ขอเจ้าจงอยู่ประพฤติธรรมในเรือนนี้เถิด  และเจ้าจงเลี้ยงดูสมณะพราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าวน้ำเถิด

       ครั้งนั้น  ดิฉันประนมอัญชลีร้องไห้  พูดกะโยมบิดาว่า  ขอคุณพ่อจงอนุญาตลูกเถิด  ลูกจักยังกรรมที่ทำมาแล้วให้พินาศ

       โยมบิดาพูดกะดิฉันว่า  ขอเจ้าจงบรรลุโพธิญาณแลธรรมอันประเสริฐ  และจงได้นิพพานที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทรงทำให้แจ้งแล้ว

       ดิฉันไหว้โยมบิดามารดาและพวกญาติทั้งปวง  แล้วออกบวชได้         ๗  วัน  ก็ได้บรรลุวิชชา  ๓  ดิฉันระลึกชาติหนหลังของตนได้  ๗  ชาติ  วิบากแห่งกรรมอันชั่วช้าใด  ซึ่งเป็นผลเกิดความไม่พอใจแก่สามี  ดิฉันจะบอกวิบากแห่งกรรมนั้นแก่ท่าน  ขอท่านจงมีใจเป็นหนึ่งแน่นอน  ฟังวิบากแห่งกรรมนั้นเถิด

       เมื่อก่อนดิฉันเป็นนายช่างทอง  มีทรัพย์มาก  อยู่ในนครเอกรกัจฉะ  เป็นคนมัวเมาเพราะความมัวเมาด้วยความเป็นหนุ่ม  ได้คบชู้ภรรยาของบุคคลอื่น  ดิฉันจุติจากชาตินั้นแล้ว  ต้องหมกไหม้อยู่ในนรกตลอกกาลนาน  ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้วเกิดในท้องแห่งวานร  พอคลอดได้  ๗  วัน          วานรใหญ่ที่เป็นนายฝูงก็กัดอวัยวะสืบพันธุ์ของดิฉันเสีย  นี่เป็นผลกรรมของดิฉันที่ได้คบชู้ภรรยาชองชายอื่น 

       ดิฉันทำกาละจุติจากกำเนิดวานรนั้นแล้ว  เกิดในท้องนางแพะตาบอด  ทั้งขาก็ฉิ่งในแคว้นสินธู  อยู่มาได้  ๑๒  ปี  ก็ถูกตัดอวัยวะสืบพันธุ์เสีย  ต่อมาเป็นโรคถูกหมู่หนอนชอนไชที่อวัยวะสืบพันธุ์  นี่เพราะโทษที่ดิฉันคบชู้ภรรยาของชายอื่น 

       ดิฉันจุติจากกำเนิดแพะนั้นแล้ว  เกิดในท้องแม่โคของพ่อค้าคนหนึ่ง  เป็นลูกโคมีขนแดงเหมือนสีครั่ง  เมื่อล่วงได้  ๑๒  เดือน  ก็ถูกตอน  ดิฉันถูกเขาใช้เทียมไถและเข็ญเกวียน  ต่อมาเป็นโคตาบอด  เป็นโคกระจอก  เป็นโคขี้โรค  นี่เพราะโทษที่ดิฉันคบชู้ภรรยาคนอื่น  ดิฉันจุติจากกำเนิดโคนั้นแล้ว  เกิดในเรือนของทาสีในถนน  จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่  เป็นชายก็ไม่เชิง  นี่เพราะโทษที่ดิฉันคบชู้กับภรรยาของชายอื่น 

       ดิฉันมีอายุได้  ๓๐  ปี  ก็ถึงแก่กรรม  แล้วมาเกิดเป็นลูกหญิงในสกุลช่างสานเสื่อ  เป็นสกุลขัดสน  มีทรัพย์น้อย  ถูกเจ้าหนี้รุมทวงอยู่เป็นนิตย์  ต่อมาเมื่อหนี้เจริญมากขึ้น  พ่อค้าเกวียนคนหนึ่งมาริบทรัพย์สมบัติแล้ว  ฉุดเอาดิฉันลงจากเรือนแห่งสกุล 

       ภายหลังดิฉันมีอายุครบ  ๑๖  ปี  บุตรของพ่อค้าเกวียนนั้นมีชี่อว่า     คิริทาส  ได้เห็นดิฉันเป็นสาวกำลังรุ่น  มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ขอไปเป็นภรรยา  แต่นายคิริทาสนั้นมีภรรยาอื่นอีกคนหนึ่ง  ซึ่งเป็นคนมีศีลทรงคุณสมบัติทั้งมียศ  รักใคร่สามีเป็นอย่างดียิ่ง  ดิฉันบังคับนายคิริทาสให้ขับไล่ภรรยาของตน  สามีทุกคนได้หย่าร้างดิฉันผู้บำรุงอยู่เหมือนนางทาสีไป  นี่ผลกรรมที่ขับไล่ภรรยาของชายอื่น  และการบังคับสามีให้ขับไล่ภรรยาตน  ที่สุดแห่งบาปนั้นดิฉันทำเสร็จแล้ว ฯ

จบ  จัตตาฬีสนิบาต

หมายเหตุ  ๗  ชาตินั้น  คือ

         ชาติที่  ๑       เป็นนายช่างทองอยู่ในครเอรกกัจฉะ  คบชู้ภรรยาคนอื่น ตกนกรตลอกกาลนาน

         ชาติที่  ๒       เกิดเป็นวานรได้  ๗  วัน  ถูกกัดอวัยวะสืบพันธุ์ขาด  ตาย

         ชาติที่  ๓       เกิดเป็นแพะได้  ๑๒ ปี  ถูกตัดอวัยวะสืบพันธุ์หมู่หนอนชอนไช  ตาย

         ชาติที่  ๔       เกิดเป็นโคได้  ๑๒  เดือน  ถูกตอนอวัยวะสืบพันธุ์เป็นโคขี้โรค ฯลฯ  ตาย

         ชาติที่  ๕       เกิดในเรือนนางทาสี  เป็นหญิงก็ไม่ใช่  ชายก็ไม่เชิง  (กระเทย)  ๓๐  ปี  ตาย

         ชาติที่  ๖       เกิดเป็นหญิงในตระกูลช่างสาน  ยากจน ฯ  เป็นเมียน้อยเขา  นี่เพราะโทษที่ดิฉันเกิดเป็นชายแล้วคบชู้ภรรยาคนอื่น

         ชาติที่  ๗       เกิดเป็นกุลธิดาในชาตินี้  ถูกสามีทิ้งถึง  ๓  คน นี่เพราะโทษที่เกิดเป็นหญิง แล้วให้สามีขับไล่ภรรยาเขาผู้สมบูรณ์ด้วยศีลให้หนีไปในชาติที่หก

กรรมนี้มีกฎ  กำหนดส่งผล     ยากดีมีจน  ไม่พ้นกฎกรรม