ไตรสรณะคมน์

ไตรสรณะคมน์

ไตรสรณะคม    แปลว่า    ที่พึ่ง  ๓  อย่าง  คือ

๑.  พุทธัง  สะระณัง  คัจฉามิ         แปลว่า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก

๒.  ธัมมัง  สะระณัง  คัจฉามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก

๓.  สังฆัง  สะระณัง  คัจฉามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆเจ้า    ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก

       ไตรสรณะคมคือ  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  นี้จะอุบัติมีขึ้นในโลกก็ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาอุบัติในโลก  ไตรสรณะคมจึงได้มีเช่นทุกวันนี้  พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สร้างบารมี  ๑๐  ประการจนเต็ม          ๒๐  อสงไขยบ้าง  ๔๐  อสงไขยบ้าง  ๘๐  อสงไขยบ้าง ตามประเภทบารมีบริบูรณ์แล้วเมื่อใดจึงจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เมื่อนั้นไตรสรณะคมจึงมีขึ้นในโลก  ไตรสรณะคมจึงนับเป็นของมีได้ยากอย่างยิ่ง

การสมาทาน

       ผู้ใดประสงค์จะสมาทานไตรสรณะคมให้มีในตนนั้น ท่านว่าให้สมาทานเช่นสมาทานศีล  ๕  ศีลอุโบสถ  คือ  ให้ตั้งเจตนาวิรัติด้วยดี กล่าวสมาทานไตรสรณะคมจนได้ยินด้วยตนเอง  กระทำดังนั้นจึงชื่อว่าสำเร็จเป็นสมาทาน

อานิสงส์

       ผู้สมาทานไตรสรณะคมนี้ชื่อว่าเป็นผู้มีไตรสรณะคมด้วยดี  ผู้มี        ไตรสรณะคมเป็นที่ถึงที่ระลึกอันมั่นคง  สามารถยังผู้นั้นให้เกิดใน เทวโลกพ้นภาวะอันต่ำทราม  ดังเช่นเอนกวรรณเทพบุตร  ครั้งหนึ่งท่านได้เกิดในศาสนาของพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า  ระหว่างมีไตรสรณะคมท่านได้รักษาศีล  ๕  และศีลอุโบสถ เป็นเหตุให้ท่านได้เกิดในเทวโลก กายของท่านทั้งเครื่องประดับกายของท่านก็ล้วนแต่ประเสริฐ       แม้รังษีของท่านก็เป็นเลิศ  ท้าวมฆวาฬผู้เป็นใหญ่  เมื่อเสด็จประพาสอุทยานคราใด            ถ้าบังเอิญไปตรงกับเอนกวรรณเทพบุตรย่อมต้องหลีกเลี่ยงและเสด็จกลับทุกคราวไป  อันบริวารก็ดี  เครื่องประดับกายและรัศมีก็ดี ย่อมไม่เลอเลิศเยี่ยงเอนกวรรณเทพบุตรนั้น

       ด้วยเหตุผลอันสืบเนื่องจากเมื่อท้าวมฆวาฬสร้างถนนหนทางและบริจาคทานเมื่อครั้งเป็นมฆมาณพนั้น โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนา  ไม่มีพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  บริวารเครื่องประดับและรัศมีจึงได้อับเฉาไม่เป็นที่เจริญใจ  เป็นที่ขวยเขินแก่ตนยิ่งนัก  แต่ขณะนี้ท้าวมฆวาฬคงจะเลิศเลอเทียบเทียมและเหนือกว่าเทพองค์อื่นๆ แล้วกระมัง  ด้วยเมื่อครั้งพุทธกาล ท่านก็ได้เอาใจใส่ต่อการบำเพ็ญทานเป็นพิเศษได้สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา และรับใช้ในพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิดจนได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลไปแล้ว

ไตรสรณะคมขาด

       ผู้ที่ถึงไตรสรณะคมแล้ว  เมื่อจะกราบไหว้คารวะสิ่งใดหรือบุคคลใดอันนอกจากพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ท่านให้ระลึกถึงไตรสรณคมก่อน  ไตรสรณะคมจึงไม่เศร้าหมอง  ผู้ใดนับถือพระพุทธศาสนาต่อมาได้ละพระพุทธศาสนาไปเข้ารีตนับถือศาสนาอื่นใด  อันไม่ใช่พระพุทธศาสนา       ได้ชื่อว่าไตรสรณะคมได้ขาดสิ้นจากภาวะอันเลิศ  ไปสู่ภาวะอันไม่เลิศเลอนั่นแล  เหมือนหนึ่งสุนักขัตตภิกษุผู้ทิ้งบาตรจีวรไปสู่ลัทธินิครนเดียรถีย์ในกาลครั้งกระโน้นแล