ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา
(นำ) หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส ฯ
(เชิญพวกเราทั้งหลายมากล่าวคำนอบน้อมพระรัตนตรัย และบาลีที่กำหนดวัตถุเครื่องแสดงความสังเวชเถิด ฯ)
(ถ้าจะสวดครึ่งเดียว คือลงแค่ ปะภาวะสิทธิยา ไม่ต่อ อิธะ ตะถาคะโต ก็นำเพียงครึ่งเดียว ว่า หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย ภะณามะ เส)
พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว
พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณา ดุจห้วงมหรรณพ
โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน
พระองค์ใด มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก
เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก
วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง
ข้าพเจ้า ไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน
พระธรรมของพระศาสดา สว่างรุ่งเรือง เปรียบดวงประทีป
โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก
จำแนกประเภท คือ มรรค ผล นิพพาน ส่วนใด
โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน
ซึ่งเป็นตัวโลกุตระ และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตระนั้น
วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง
ข้าพเจ้า ไหว้พระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต
พระสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่ กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย
โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก
เป็นผู้เห็นพระนิพพาน ตรัสรู้ตามพระสุคต หมู่ใด
โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส
เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล เป็นพระอริยเจ้า มีปัญญาดี
วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง
ข้าพเจ้า ไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง
วัตถุต๎ยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง
ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปัททะวา
มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา.
บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งวัตถุสาม คือ พระรัตนตรัยอันควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้นี้ ขออุปัทวะทั้งหลาย จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย ด้วยอำนาจความสำเร็จอันเกิดจากบุญนั้น ฯ
(ถ้ามีเวลาพอ ให้สวด สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐะ ต่อไปนี้)
สังเวคปริกิตตนะปาฐะ
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน
พระตถาคตเจ้า เกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก
และพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์
อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก
เป็นเครื่องสงบกิเลส เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต
เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ
มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ
พวกเรา เมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว จึงได้รู้อย่างนี้ว่า
ชาติปิ ทุกขา
แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์
ชะราปิ ทุกขา
แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์
มะระณัมปิ ทุกขัง
แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์
เสยยะถีทัง
ได้แก่ สิ่งเหล่านี้ คือ
รูปูปาทานักขันโธ
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือรูป
เวทะนูปาทานักขันโธ
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือเวทนา
สัญญูปาทานักขันโธ
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือสัญญา
สังขารูปาทานักขันโธ
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือสังขาร
วิญญาณูปาทานักขันโธ
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือวิญญาณ
เยสัง ปะริญญายะ
เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้ อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง
ธะระมาโน โส ภะคะวา
จึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่
เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ
ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย เช่นนี้เป็นส่วนมาก
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ
อนึ่ง คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมาก มีส่วนคือการจำแนกอย่างนี้ว่า
รูปัง อะนิจจัง
รูป ไม่เที่ยง
เวทะนา อะนิจจา
เวทนา ไม่เที่ยง
สัญญา อะนิจจา
สัญญา ไม่เที่ยง
สังขารา อะนิจจา
สังขาร ไม่เที่ยง
วิญญาณัง อะนิจจัง
วิญญาณ ไม่เที่ยง
รูปัง อะนัตตา
รูป ไม่ใช่ตัวตน
เวทะนา อะนัตตา
เวทนา ไม่ใช่ตัวตน
สัญญา อะนัตตา
สัญญา ไม่ใช่ตัวตน
สังขารา อะนัตตา
สังขาร ไม่ใช่ตัวตน
วิญญาณัง อะนัตตา
วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน
สัพเพ สังขารา อะนิจจา
สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ
ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้
เต (หญิงว่า ตา) มะยัง โอติณณามะหะ
พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว
ชาติยา
โดยความเกิด
ชะรามะระเณนะ
โดยความแก่และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ
โดยความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลาย
ทุกโขติณณา
เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
ทุกขะปะเรตา
เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ
ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้
(ถึงตรงนี้ สำหรับคฤหัสถ์ให้หยุดสวด ให้รอไปสวดต่อท่อนท้าย)
จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง
ภะคะวันตัง อุททิสสะ อะระหันตัง
สัมมาสัมพุทธัง
เราทั้งหลาย อุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แม้ปรินิพพานนานแล้วพระองค์นั้น
สัทธา อะคารัส๎มา อะนะคาริยัง ปัพพะชิตา
เป็นผู้มีศรัทธา ออกบวชจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว
ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัหมะจะริยัง จะรามะ
ประพฤติอยู่ซึ่งพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปันนา
ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของภิกษุทั้งหลาย
(สามเณร พึงเว้นประโยคนี้ หรือเปลี่ยนว่า สามะเณรานัง สิกขาสาชีวะสะมาปันนา ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของสามเณรทั้งหลาย)
ตัง โน พ๎รัหมะจะริยัง อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ
ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายนั้น จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุด แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ
(สำหรับคฤหัสถ์สวด)
จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา
เราทั้งหลายผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้วพระองค์นั้น เป็นสรณะ
ธัมมัญจะ สังฆัญจะ
ถึงพระธรรมด้วย ถึงพระสงฆ์ด้วย
ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปัชชามะ
จักทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ตามสติกำลัง
สา สา โน ปะฏิปัตติ
ขอให้ความปฏิบัตินั้นๆ ของเราทั้งหลาย
อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ
จงเป็นไป เพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ